โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษา
ก่อนที่นักศึกษาจะสามารถเข้าทำการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นสูง (Higher
education) ได้นั้น
นักศึกษาจะต้องสำเร็จการศึกษาในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาก่อน
ซึ่งจะใช้เวลาทั้งหมด 12 ปี ชาวอเมริกันเรียกแต่ละปีเหล่านี้ว่า “เกรด”
มีตั้งแต่เกรดหนึ่งไปจนถึงเกรดสิบสอง
เด็กนักเรียนชาวอเมริกันเริ่มต้นเข้ารับการศึกษาเมื่ออายุประมาณ 6 ขวบ
โดยเริ่มศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษาก่อนหรือที่เรียกกัน
ว่า “Elementary school”
ใช้เวลาศึกษาในระดับนี้ทั้งหมดห้าถึงหกปีแล้วจึงสามารถเข้าทำการศึกษาต่อใน
ระดับมัธยมศึกษา
โรงเรียนมัธยมศึกษาหรือ Secondary school มีสองหลักสูตรด้วยกัน
หลักสูตรแรกคือ หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น หรือที่เรียกกันว่า “Middle
school” หรือ “Junior high school”
หลักสูตรที่สองคือหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลายหรือ High school
และนักศึกษาจะได้รับใบประกาศนียบัตรก็ต่อเมื่อนักศึกษาสำเร็จการศึกษาใน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
หลังจากนั้นนักศึกษาจึงสามารถสมัครเข้าทำการศึกษาต่อในระดับวิทยาลัยหรือ
มหาวิทยาลัยได้ ซึ่งเรียกกันว่า “Higher education”
ระบบการให้เกรด
นักศึกษาชาวต่างชาติต้องแนบใบประเมินผลการศึกษาของตนพร้อมกับใบสมัครเข้า
วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาให้เหมือนกับนักศึกษา
ชาวอเมริกันคนอื่น ๆ
ซึ่งใบประเมินผลการศึกษานี้จะเป็นเอกสารหลักในการแสดงผลการศึกษาของนักศึกษา
ได้แก่ เกรดและเกรดเฉลี่ย (GPA) ซึ่งเป็นตัววัดผลการศึกษาของนักศึกษา
และการให้เกรดในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นจะให้เป็นเปอร์เซ็น
และจำนวนเปอร์เซ็นจะถูกผันแปรเป็นเกรดแบบตัวอักษร
บางครั้งระบบการให้เกรดและเกรดเฉลี่ย (GPA)
ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีความยุ่งยากซับซ้อนและทำให้นักศึกษาสับสน
โดยเฉพาะกับนักศึกษาชาวต่างชาติ อีกทั้งมีการผันแปรเกรดด้วย ตัวอย่างเช่น
มีนักศึกษาสองคนสำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาคนละแห่ง
ทั้งคู่ยื่นใบสมัครเข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันและมีเกรดเฉลี่ยเท่ากันคือ 3.5
GPAs แต่นักศึกษาคนหนึ่งสำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาธรรมดา
แต่นักศึกษาอีกคนสำเร็จการศึกษามาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาที่มีชื่อเสียงโด่ง
ดังทางด้านวิชาการ
ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยอาจจะมองดูเกรดเฉลี่ยในใบประเมินผลการศึกษาและให้
คะแนนนักศึกษาทั้งสองคนต่างกัน
เนื่องจากทั้งสองคนมาจากโรงเรียนที่มีมาตรฐานทางการศึกษาไม่เหมือนกัน
ดังนั้น นักศึกษาควรจดจำสิ่งที่สำคัญดังต่อไปนี้:
- นักศึกษาควรรู้ว่าวุฒิการศึกษาที่เรียนจบมาจากประเทศของตนนั้นเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาระดับใดในประเทศสหรัฐอเมริกา
-
นักศึกษาควรทำความเข้าใจกับระเบียบการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยและวิทยาลัยแต่ละ
แห่ง และควรทำความเข้าใจกับหลักสูตรวิชาที่ตนเองสมัครเรียนด้วย
เพราะในบางครั้งอาจมีระเบียบการสมัครที่แตกต่างจากมหาวิทยาลัยอื่น
-
นักศึกษาควรรักษาคุณสมบัติในการสมัครเข้าเรียนให้เพรียบพร้อมอยู่ตลอดเวลา
ซึ่งนักศึกษาสามารถค้นหาข้อมูลเหล่านี้ได้โดยการพบปะพูดคุยกับอาจารย์ฝ่าย
แนะแนวหรือผู้ให้คำปรึกษาด้านการศึกษาต่ออย่างเป็นประจำ
อาจารย์ฝ่ายแนะแนวหรือผู้ให้คำปรึกษาด้านการศึกษาต่อจะสามารถบอกนักศึกษา
ได้ว่านักศึกษาควรจะใช้เวลาปีหรือสองปีในการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเตรียมความ
พร้อมในการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหรือไม่
เนื่องจากว่ารัฐบาลและนายจ้างในบางประเทศจะไม่ยอมรับนักศึกษาที่ได้รับวุฒิ
การศึกษามาจากประเทศอเมริกา
แต่นักศึกษามีคุณสมบัติไม่เพียงพอตามระเบียบการไปศึกษาต่อต่างประเทศในระดับ
มหาวิทยาลัยในประเทศของตน
ปีการศึกษา
ปฏิทินการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาจะเริ่มในเดือนสิงหาคมหรือเดือน
กันยายนและดำเนินการเรียนการสอนต่อไปจนถึงเดือนพฤษภาคมหรือเดือนมิถุนายน
นักศึกษาใหม่ส่วนมากจะเริ่มต้นการศึกษาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติในการเริ่มต้นการ
ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของตนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เพราะเป็นช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้น
นักศึกษาทุกคนกำลังเริ่มต้นการศึกษาใหม่เหมือนกันหมด
และกำลังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ของการเป็นนักศึกษา
นักศึกษาจะสามารถพบและสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ได้ในช่วงเวลานี้ได้ดี
ที่สุด นอกจากนั้นแล้ว
ทางมหาวิทยาลัยยังได้ออกแบบหลายหลักสูตรวิชาที่นักศึกษาสามารถเลือกศึกษาได้
อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจะเริ่มต้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและดำเนินการทำการเรียนการสอนต่อไปจนถึง
สิ้นปี
หนึ่งปีการศึกษาของโรงเรียนหลายแห่งประกอบด้วยสองเทอม เรียกว่าระบบ
“Semesters“(โรงเรียนบางแห่งมีสามเทอมต่อหนึ่งปีการศึกษาซึ่งเป็นที่รู้จัก
กันว่าระบบ “trimester”) นอกจากนี้
โรงเรียนบางแห่งได้รวมการเรียนการสอนภาคฤดูร้อนที่เป็นหลักสูตรวิชาเลือกไว้
ด้วยกันจึงแบ่งหนึ่งปีการศึกษาออกเป็นสี่เทอม โดยทั่วไปแล้ว
ถ้านักศึกษาไม่ได้ลงเรียนภาคฤดูร้อน หนึ่งปีการศึกษาก็จะแบ่งออกเป็นสองเทอม
(Semesters) หรือสามส่วนสี่เทอม (trimester)
ระบบการศึกษาขั้นสูงหรือ Higher Education ในประเทศสหรัฐอเมริกา: ระดับของการศึกษา
ระดับแรก: ระดับปริญญาตรี หรือ Undergraduate
นักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับนี้คือนักศึกษาผู้ที่ไม่เคยได้รับ
ปริญญาตรีมาก่อน
โดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาทั้งหมดสี่ปีในการศึกษาในระดับปริญญาตรี
นักศึกษาสามารถเลือกทำการศึกษาในระดับนี้ได้ที่วิทยาลัยชุมชน วิทยาลัย
หรือมหาวิทยาลัยสี่ปี
ในช่วงสองปีแรกของการศึกษาในระดับปริญญาตรี
นักศึกษาจะต้องทำการศึกษาแบบกว้างไปก่อน
ตัวอย่างวิชาทั่วไปที่นักศึกษาจะได้ทำการศึกษามีดังนี้ วิชาวรรณคดี
วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคมศาสตร์ วิชาศิลปศาสตร์ วิชาประวัติศาสตร์
และวิชาอื่น ๆ อีกมากมาย เป็นต้น
ทั้งนี้เพื่อให้นักศึกษามีความรู้ทั่วไปและมีพื้นฐานของหลาย ๆ
วิชาก่อนที่จะทำการศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ
มีนักศึกษาหลายคนเลือกศึกษาวิชาที่จำเป็นในวิทยาลัยชุมชนสองปีก่อนเพื่อ
ได้รับอนุปริญญา (AA)
แล้วจึงทำการโอนย้ายหน่วยกิตไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยสี่ปี
“Major” คือ สาขาวิชา ยกตัวอย่างเช่น
ถ้านักศึกษาเลือกศึกษาในสาขาวิชาวารสารศาสตร์
นักศึกษาจะได้รับปริญญาวารสารศาสตร์บัณฑิต
ซึ่งนักศึกษาจะต้องลงเรียนวิชาหลายวิชาตามจำนวนที่ทางวิทยาลัยหรือ
มหาวิทยาลัยกำหนดไว้ก่อน
เพื่อให้นักศึกษามีคุณสมบัติที่เพียงพอต่อการศึกษาขั้นต่อไปในสาขาวิชาเฉพาะ
และนักศึกษาต้องทำการเลือกสาขาวิชาเฉพาะในต้นปีที่สามของการศึกษา
ระบบการศึกษาขั้นสูงของประเทศสหรัฐอเมริกานั้นมีความยืดหยุ่นสูง
นักศึกษาที่ทำการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรีสามารถเปลี่ยนสาขาวิชาเฉพาะใน
ระหว่างทำการศึกษาได้ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
บ่อยครั้งที่นักศึกษาชาวอเมริกันจะเปลี่ยนใจไปศึกษาสาขาวิชาอื่นที่ชอบ
มากกว่า
แต่ว่าผลของการเปลี่ยนสาขาวิชาในขณะที่ทำการศึกษาอยู่ก็คือนักศึกษาอาจจะ
ต้องลงเรียนวิชาอื่นเพิ่มเติมซึ่งจะทำให้เสียทั้งเวลาและเงินมากขึ้น
ระดับที่สอง: ระดับปริญญาโท หรือ Graduate
ในปัจจุบัน
มีบุคคลที่ได้รับวุฒิปริญญาตรีแล้วหลายคนต้องการทำการศึกษาต่อในระดับปริญญา
โทเพื่อตำแหน่งในหน้าที่การงานที่ตนต้องการหรือไม่ก็เพื่อความก้าวหน้าใน
อาชีพการงานปัจจุบันของตน
ส่วนใหญ่แล้ววุฒิปริญญาโทเป็นที่ต้องการสำหรับการสมัครงานในตำแหน่งระดับสูง
โดยเฉพาะสาขาบรรณารักษ์ศาสตร์ สาขาวิศวกรรมศาสตร์ สาขาพฤติกรรมสุขภาพ
และสาขาศึกษาศาสตร์
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว
นักศึกษาชาวต่างชาติจากบางประเทศได้รับการอนุญาตให้ทำการศึกษาที่ต่างประเทศ
ได้เฉพาะในระดับปริญญาโทเท่านั้น ดังนั้น
นักศึกษาควรทำการตรวจสอบเกี่ยวกับกฎเกณฑ์และใบรับรองต่าง ๆ
ที่เป็นที่ต้องการในการสมัครงานที่ประเทศของตนให้แน่ใจก่อนที่จะทำการสมัคร
เข้าทำการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยทั่วไปแล้วหลักสูตรปริญญาโทเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในวิทยาลัยหรือ
มหาวิทยาลัย นักศึกษาต้องยื่นใบแสดงผลสอบ GRE (graduate record
examination) พร้อมกับใบสมัคร
นักศึกษาต้องยื่นใบแสดงผลสอบตามที่สาขาวิชาที่นักศึกษาได้เลือกไว้กำหนด
ตัวอย่างเช่น สาขาวิชากฎหมายต้องยื่นผลสอบ LSAT
สาขาวิชาธุรกิจต้องยื่นผลสอบ GRE หรือ GMAT
และสำหรับสาขาวิชาแพทย์ต้องยื่นผลสอบ MCAT เป็นต้น
นักศึกษาโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณหนึ่งถึงสองปีในการศึกษาในระดับปริญญา
โท ตัวอย่างเช่น สาขาวิชาบริหารธุรกิจ หรือ MBA (master of business
administration)
ซึ่งเป็นสาขาที่มีนักศึกษาเลือกทำการศึกษามากที่สุดจะใช้เวลาทำการศึกษา
ประมาณสองปี และสำหรับสาขาวิชาอื่นในระดับปริญญาโท เช่น
สาขาวิชาวารสารศาสตร์ จะใช้เวลาทำการศึกษาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น
การศึกษาส่วนใหญ่จะอยู่ในห้องเรียนและนักศึกษาจะต้องทำการวิจัยค้นคว้า
ซึ่งเรียกกันว่า “Master’s thesis” หรือต้องทำโปรเจคปริญญาโทให้สำเร็จ
(Master’s project)
ระดับที่สาม: ปริญญาเอก หรือ Doctorate Degree
โรงเรียนหลายแห่งมองว่าการสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทนั้นเป็นก้าวแรก
ของการที่จะได้รับปริญญาเอกหรือ PhD (doctorate)
แต่ในโรงเรียนบางแห่งนักศึกษาสามารถทำการศึกษาเพื่อได้รับปริญญาเอกได้โดย
ที่ไม่ต้องมีปริญญาโท
นักศึกษาอาจใช้เวลาทำการศึกษาทั้งหมดประมาณสามปีหรือมากกว่านั้น
และสำหรับนักศึกษาชาวต่างชาติอาจใช้เวลาประมาณห้าหรือหกปีในการสำเร็จการ
ศึกษาในระดับนี้
ในช่วงสองปีแรก นักศึกษาปริญญาเอกจะทำการศึกษาในห้องเรียนและห้องสัมมนา
และใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งปีในการทำการวิจัยค้นคว้าและเขียนวิทยานิพนธ์
หรือปริญญานิพนธ์ของตนเอง ซึ่งต้องประกอบด้วยมุมมอง การออกแบบ
หรือการวิจัยค้นคว้าที่ไม่เคยมีการตีพิมพ์มาก่อน
ปริญญานิพนธ์ประกอบด้วยบทสนทนาและบทสรุปของนักศึกษาตามหัวข้อเรื่องที่กำหนด
ไว้ให้
มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาเอกส่วนใหญ่จะตั้ง
กฎให้นักศึกษาต้องมีความรู้ในด้านการอ่านภาษาต่างประเทศได้ถึงสองภาษาด้วย
กัน
และนักศึกษาต้องออกไปใช้เวลาตามจำนวนเวลาที่กำหนดไว้ในสถานที่ที่เกี่ยวข้อง
กับปริญญานิพนธ์นักศึกษาเขียน
ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับประสบการณ์และผ่านข้อทดสอบของหลักสูตรปริญญาเอก
ผ่านการสัมภาษณ์เกี่ยวกับปริญญานิพนธ์ที่นักศึกษาได้เขียนไว้
และสุดท้ายได้รับวุฒิปริญญาเอก
ลักษณะเด่นของระบบการศึกษาขั้นสูงในประเทศสหรัฐอเมริกา
บรรยากาศในห้องเรียน
ห้องเรียนมีหลายขนาดตั้งแต่ห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่ที่มีนักศึกษาหลายร้อยคน
เข้าเรียนไปจนถึงห้องเรียนขนาดเล็กและห้องสัมมนา(ห้องประชุม)
ที่มีนักศึกษาเพียงแค่สองสามคนเท่านั้น
บรรยากาศการศึกษาในห้องเรียนของชาวอเมริกันนั้น
นักศึกษาจะต้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
โต้เถียงเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง มีส่วนร่วมในการสนทนา และนำเสนองานของตน
ซึ่งนักศึกษาชาวต่างชาติส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าตื่นใจที่สุดของระบบ
การศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา
อาจารย์ผู้สอนจะมอบหมายให้นักศึกษาทำรายงานและอ่านหนังสือทุกอาทิตย์
นักศึกษาจะต้องทำการบ้าน
อ่านหนังสืออยู่ตลอดเพื่อที่จะสามารถทำความเข้าใจกับคำบรรยายและมีส่วนร่วม
ในการสนทนาในชั้นเรียนได้
และในบางครั้งนักศึกษาต้องเข้าใช้ห้องแลปในการศึกษาของบางหลักสูตรวิชาอีก
ด้วย
อาจารย์ผู้สอนจะให้เกรดนักศึกษาตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้:
- อาจารย์ผู้สอนแต่ละท่านจะมีเกณฑ์ให้คะแนนด้านการมีส่วนร่วมในห้องเรียน
ไม่เหมือนกัน
นักศึกษาจะได้คะแนนผ่านการมีส่วนร่วมในบทสนทนาภายในชั้นเรียนโดยเฉพาะในห้อง
สัมมนา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการตัดสินให้คะแนน
- การสอบกลางภาค ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เวลาในช่วงการทำการเรียนการสอน
- การรวบรวมส่งงานวิจัย การเรียบเรียงภาคนิพนธ์ หรือการส่งรายงานแลปอย่างน้อยหนึ่งฉบับเพื่อการประเมินผล
- การสอบย่อย หรือการตอบคำถามในชั้นเรียน
บางครั้งอาจารย์ผู้สอนจะให้นักศึกษาทำข้อสอบหรือตอบคำถามให้ห้องเรียน
ทั้งนี้เพื่อให้นักศึกษามีส่วนร่วมในชั้นเรียนและคอยทำการบ้านที่ให้ไว้อยู่
ตลอด
- การสอบปลายภาค หลังจากการเรียนการสอนครั้งสุดท้ายของชั้นเรียน